คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๙๘๕/๒๔๔๐
พ.ร.บ.กองอาสารักษาดินแดน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๑๖ (๒) , ๒๙
การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ จะต้องเป็นการกระทำต่อเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยได้รับการแต่งตั้งตามวิธีการที่กฎหมายให้อำนาจและกำหนดไว้
ตามพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๑๖ (๒) กองอาสารักษาดินแดนมีหน้าที่ทำหน้าที่ตำรวจรักษาความสงบภายในท้องที่ร่วมกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ และมาตรา ๒๙ เจ้าหน้าที่หรือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนในระหว่างทำการตามหน้าที่ ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา
ตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ผู้เสียหายทำงานร่วมกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ จึงจะมีอำนาจตามกฎหมายและให้ถือว่าผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงาน
เมื่อปรากฏว่าผู้เสียหายมีหน้าที่เพียงสกัดกั้นผู้กระทำผิดต่อกฎหมาย แต่ไม่มีหน้าที่จับกุม หากจะจับกุมจะต้องมีเจ้าพนักงานตำรวจและปลัดอำเภอร่วมด้วย ดังนี้ การที่ไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจหรือเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองร่วมกับผู้เสียหายในการจับกุมจำเลยผู้เสียหาย จึงไม่เป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๒๘/๒๕๑๕
ป.อ. มาตรา ๑๓๘ , ๒๘๙ (๓)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้พลตำรวจสังวาลย์ เจ้าพนักงานตำรวจกับพวก ในการกระทำการตามหน้าที่ และนายบุญเหลือ ราษฎรผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการกระทำการตามหน้าที่ ขณะเข้าทำการจับกุมจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์ของนายณรงค์ โดยจำเลยทั้งสองเจตนาฆ่า กระสุนปืนที่จำเลยทั้งสองร่วมกันยิงถูกนายบุญเหลือได้รับอันตรายแก่กาย ทั้งนี้ โดยจำเลยเจตนาต่อสู้ขัดขวางมิให้พลตำรวจสังวาลย์ กับพวกเจ้าพนักงานตำรวจและนายบุญเหลือ ผู้เข้าช่วยเจ้าพนักงานตำรวจ จับกุมจำเลยตามหน้าที่ได้
การที่นายบุญเหลือ เจ้าของเรือยนต์หางยาว ขับเรือติดตามคนร้ายไปนี้ ก็เพราะพลตำรวจสังวาลย์ เจ้าพนักงานขอแรงไปให้นายบุญเหลือช่วยขับเรือของนายบุญเหลือ เพื่อพลตำรวจสังวาลย์จะได้กระทำการจับกุมคนร้ายจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์ของนายณรงค์ อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ เมื่อตามไปทัน จำเลยวิ่งหนีขึ้นตลิ่ง นายบุญเหลือจอดเรือแล้ววิ่งไล่ตามคนร้ายไปโดยได้แยกกันกับพลตำรวจสังวาลย์ แล้วนายบุญเหลือถูกจำเลยยิงเอา การที่นายบุญเหลือเข้าช่วยเจ้าพนักงานเช่นนี้เป็นการเข้าช่วยโดยสมัครใจเอง ไม่ใช่เป็นกรณีที่ต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๓) , ๘๐ , ๘๓ เท่านั้น ไม่ใช่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายในการต่อสู้หรือขัดขวางผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ อันเป็นความผิดตามมาตรา ๑๓๘ ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๘๔/๒๕๑๔
ป.อ. มาตรา ๘๐, ๘๓, ๑๓๘, ๑๔๐, ๒๘๘, ๒๘๙
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๒/๒๔๑๔)
คืนวันเกิดเหตุ สิบตำรวจเอกสุเทพ กับสิบตำรวจโทเชื้อ แต่งเครื่องแบบตำรวจ นั่งเรือหางยาวไปตามหาเรือมาดของเจ้าทรัพย์ที่ถูกคนร้ายชิงไป โดยมีนายแสละ นายแอ และนายไข่หมัด ไปด้วย ต่อมาพบเรือนั้นจมน้ำอยู่ มีจำเลยทั้งสองนั่งเรือแจวมา สิบตำรวจเอกสุเทพว่า "นี่ตำรวจ นั่นเรืออะไร เข้ามานี่ก่อน" จำเลยรู้ว่าเป็นตำรวจแต่เบนหัวเรือหนี สิบตำรวจเอกสุเทพไล่ตาม จำเลยยิงปืนมา ๑ นัด กระสุนปืนถูกนายแสละที่เข่าขวาและกลางขาขวา เมื่อเรือตำรวจวิ่งไล่ตามเรือจำเลยต่อไปจนห่าง ๒ วา จำเลยทั้งสองกระโดดน้ำหนี
จึงวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำผิดฐานใช้ปืนเป็นอาวุธ ต่อสู้ขัดขวางและฐานพยายามฆ่าสิบตำรวจเอกสุเทพกับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำตามหน้าที่และเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการกระทำตามหน้าที่